HIGHLIGHT
TISCO มองว่า ในครึ่งปีหลังนี้ หุ้นทั่วโลกเตรียมรับผันผวนและผลตอบแทนน้อยลง หลังเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว
และการวางนโยบายการเงินที่เข้มงวด แนะจังหวะหุ้นย่อรับข่าวสหรัฐฯ ภาษีเดือน ก.ค. ช้อนซื้อหุ้นเฮลธ์แคร์และเทคโนโลยี
คุณคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าเศรษฐกิจโลก
เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายของการขยายตัว (Late Recovery) เพราะในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับการกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐ
และธนาคารกลางต่างๆ เพื่อพยุงให้รอดพ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 แต่หลังจากที่หลายประเทศทยอยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจนเริ่มเปิดประเทศแล้ว นโยบายต่างๆ ของภาครัฐฯ ก็เริ่มหมดลง เช่น สหรัฐฯ ได้ยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาด
ครบเกือบทุกรัฐแล้ว และทยอยสิ้นสุดโครงการสวัสดิการว่างงานพิเศษ ขณะเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ก็ไม่ได้ออกมาดีกว่าคาดเหมือนช่วงต้นปี
นอกจากนี้ นโยบายการเงินก็มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นอย่างชัดเจน โดยผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คณะกรรมการได้เริ่มหารือถึงแผนการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Taper) และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plots) ก็ถูกปรับขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน
โดยคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยสองครั้ง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมาอยู่ที่ 0.5 – 0.75% ภายในสิ้นปี 66 จากเดิมที่หลายฝ่าย
ประเมินว่า Fed จะคงดอกเบี้ยในระดับ 0.25 – 0.75% ไปจนถึงสิ้นปี 66
ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี นักลงทุนในตลาดหุ้นจะมุ่งความสนใจไปยังประเด็นการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอลง และนโยบาย
การเงินที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่ลดลง อีกทั้งนโยบายการเงินของ Fed ที่เข้มงวดส่งผลให้
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้น เป็นปัจจัยลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงกระทบต่อหุ้นกลุ่มวัฏจักร
ที่เคยสร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่นมาตั้งแต่ปลายปีก่อน
ในขณะที่หุ้นกลุ่มปลอดภัยหรือหุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensives) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) และ เฮลธ์แคร์ (Healthcare)
ดูมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณามูลค่า (Valuation) ที่ค่อนข้างถูก เช่น อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า
(Forward P/E) ของกลุ่ม Healthcare ที่เทรดต่ำกว่าดัชนี S&P 500 อยู่ถึง 20%
“หาก Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 66 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของสหรัฐฯ ก็จะเริ่มปรับตัวขึ้นตั้งแต่กลางปีนี้ ขณะที่ผลตอบแทนระยะยาวก็มีโอกาสปรับขึ้นได้อย่างจำกัดตามสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อและแนวโน้มเศรษฐกิจ”
ประเด็นข้างต้นจะส่งผลให้ส่วนต่างของพันธบัตร (Yield Curve) แบนราบลง ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 54 พบว่า
ทุกครั้งที่ส่วนต่างของพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวเข้ามาใกล้กัน ตลาดหุ้นมักจะผันผวนและให้ผลตอบแทนลดลง ขณะที่
หุ้นกลุ่มปลอดภัย (Defensives) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) และ เฮลธ์แคร์ (Healthcare) จะกลับมาสร้างผลตอบแทน
ที่โดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่มอื่น” คุณคมศรกล่าว
ดังนั้น แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอลงและปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
จึงประเมินว่า ตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังมีโอกาสปรับขึ้น (Upside) ค่อนข้างจำกัด และผันผวนมากขึ้นรวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ลดลง
เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก จึงแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตโดยเน้น หุ้นกลุ่ม Defensives เช่น Technology และ Healthcare เพื่อ
ลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยแนะนำให้เข้าซื้อเมื่อหุ้นทั้งสองกลุ่มปรับลดลงรับข่าวการนำเสนอแผนขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
ต่อรัฐสภาซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้