HIGHLIGHTS
- ความเป็นมาของกราฟแท่งเทียน
- ‘มีตัวเทียน ก็ต้องมีไส้เทียน’
- แท่งเทียนแบบ DOJI
- กราฟ ‘แท่งเทียน’ รูปแบบต่างๆ
สวัสดีครับ พบกับ #Forexมือใหม่ ช่วงที่ทั้งผู้อ่านและผู้เขียนจะมาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันว่า
‘เรื่องของการลงทุน (Forex) ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่เราคิดกัน’
จากความเดิมตอนที่แล้ว ผมทิ้งท้ายไว้กับ ‘กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart)’
วันนี้ผมก็จะพาทุกท่าน (รวมถึงตัวผมเองด้วย) ไปรู้จักกับแท่งเทียนแบบเจาะลึกว่า
แท่งเทียนมาจากไหน มีลักษณะยังไง (ละเอียดสุดๆ จนต้องแบ่งเป็น 2 EP กันเลยทีเดียว)
ยังไง เชิญติดตามได้เลยครับ
‘กราฟแท่งเทียน’ เป็นกราฟรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด Forex เพราะกราฟแบบนี้สามารถบอกรายละเอียดของข้อมูลราคาได้มากกว่ากราฟแบบอื่นๆ (เยี่ยม!) ทำให้สะดวกต่อการวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้เป็นอย่างดี
ความเป็นมาของกราฟแท่งเทียน
กราฟแท่งเทียนมีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น
โดยมีประวัติมาอย่างยาวนานมากกว่า 200 ปี โดยผู้คิดค้นกราฟแท่งเทียนคือ ‘Honma Munehisa’ (本間 宗久)
คุณ Honma เกิดที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2267 เขาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะมั่นคง เพราะทางบ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับ
การค้าข้าว แม้คุณ Honma จะเป็นลูกคนสุดท้องก็ตาม
แต่ด้วยความเก่งกาจในด้านการค้าขายนั้น จึงทำให้
ทางบ้านวางใจให้เขาได้เป็นคนดูแลกิจการ
และในขณะที่ คุณ Honma ควบคุมกิจการทางบ้านอยู่ เขาจำเป็นต้องวางแผนและใช้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับราคาข้าว เขาจึงรวบรวมข้อมูลราคาข้าวย้อนหลังมากกว่า 10 ปี เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงจิตวิทยาของผู้บริโภคและรูปแบบของราคาข้าว
ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษา คือ วิธีการและเทคนิคต่างๆ ที่ คุณ Honma คิดค้นขึ้น จากนั้นเขาจึงนำข้อสรุปเหล่านั้นมาเขียนเป็นหนึงสือ 2 เล่ม ชื่อ ‘Sakata Henso’ และ ‘Soba Sain no Den’ ซึ่ง มร. สตีฟ นิสออน (มร. หมายถึง Mister เป็นคำนำหน้า ‘นาย’ สำหรับชาวต่างชาติในไทยสมัยก่อน) ได้นำไปเผยแพร่ในประเทศกลุ่มตะวันตก และเมื่อเวลาผ่านไป ประมาณปี พ.ศ. 2525 ประเทศแถบตะวันตก
ได้นำวิธีการต่างๆ ไปปรับใช้ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น และต่อมาในปี พ.ศ. 2530 วิธีการเหล่านั้นก็ถูกนำมาใช้ในตลาดหุ้นของไทย
ย้อนกลับไปในตอนที่ผ่านมา ‘กราฟแท่งเทียน’ ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
‘มีตัวเทียน ก็ต้องมีไส้เทียน’ ใช่ไหมครับ?
เรามาทบทวนก่อนไปต่อด้วยกันนะครับ
ตัวเทียน (Body) จะบอก ปริมาณเปิด – ปิดของราคา
ไส้เทียน (Shadow) จะบอก จุดสูงสุด – ต่ำสุดของราคา
ราคาสูงสุด (High price) คือ จุดราคาที่เคยขึ้นไปสูงที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ
ราคาต่ำสุด (Low price) คือ จุดราคาที่เคยลงไปต่ำที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ
ราคาเปิด (Open price) คือ จุดราคาปิด
ราคาปิด (Close price) คือ จุดราคาเปิด
หากแท่งเทียนอยู่ในรูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น หรือตลาดกระทิง (Bullish) ราคาเปิดจะอยู่ต่ำกว่าราคาปิด
หากแท่งเทียนอยู่ในรูปแบบแท่งเทียนขาลง หรือตลาดกระหมี (Bearish) ราคาเปิดจะอยู่สูงกว่าราคาปิด
ที่มารูปภาพ https://bit.ly/2UwJr4y
แท่งเทียนแบบ DOJI
คือ แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลังจากราคาในตลาดผันผวน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะคงที่ (หรืออยู่ใกล้กับ) ราคาเปิด
อาจเรียกง่ายๆ ว่า ‘ราคาเปิด – ปิดเท่ากัน‘
แท่งเทียนแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเผ็ดร้อนระหว่างผู้ซื้อ – ขาย หากจะยืนยันการฟาดฟันนี้ว่า จะมีแนวโน้มเป็นทิศทางใด
เราต้องรอดูแท่งเทียนถัดไปว่าจะเป็นอย่างไร โดยแท่งเทียนแบบ Doji จะมีอยู่ 4 ประเภทหลักๆ คือ
1. Neutral Doji เป็นเหมือนเครื่องหมาย ‘+’ ขนาดเล็ก
ความหมาย : ในช่วงเวลานั้นราคาเพิ่ม – ลดไม่สำคัญ
2. Dragonfly Doji เป็นเหมือนตัวอักษร ‘T’
ความหมาย : ในช่วงเวลานั้นราคาเปิดและปิดเท่ากับราคาสูงสุด
3. Gravestone Doji เป็นตัวอักษร ‘T’ แต่กลับหัว
ความหมาย : ในช่วงเวลานั้นราคาเปิดและปิดเท่ากับราคาต่ำสุด
4. Doji ขายาว เป็นเหมือนเครื่องหมาย ‘+’ แต่มีเส้นแนวตั้งที่ยาวกว่า
ความหมาย : ในช่วงเวลานั้นราคาจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายราคาปิดเท่ากับราคาเปิด
กราฟ ‘แท่งเทียน’ รูปแบบต่างๆ
1. Piercing Pattern VS Dark Cloud Cover
‘ขาขึ้น (Piercing Pattern)’
ลักษณะ : เป็นแท่งเทียนสีเขียวของค่าเงินที่อยู่ในแนวโน้มขาลง โดยตัวเทียนมีขนาดค่อนข้างยาวและมีราคาปิดที่สูงเกินกว่าครึ่งของแท่งเทียนสีแดงก่อนหน้า ซึ่งแท่งเทียนสีแดงก่อนหน้านั้นก็มีขนาดที่ค่อนข้างยาวเช่นกัน และมีราคาปิดเกือบถึงราคาต่ำสุด
ของแท่งเทียนก่อนหน้าที่อยู่ในแนวโน้มขาลง
ความหมาย : สัญญาณเตือนการกลับตัวของค่าเงินที่รุนแรง
อาจกลับทิศทางจากขาลงเป็นขาขึ้นได้
‘ขาลง (Dark Cloud Cover)’
ลักษณะ : เป็นแท่งเทียนสีเเดงของค่าเงินที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยตัวเทียนมีขนาดค่อนข้างยาวและมีราคาปิดที่สูงเกินกว่าครึ่งของแท่งเทียนสีเขียวก่อนหน้า ซึ่งตัวแท่งเทียนสีเขียวก่อนหน้านั้นก็มีขนาดที่ค่อนข้างยาวเช่นกัน และมีราคาเปิดใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้านี้ที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ความหมาย : สัญญาณเตือนการกลับตัวของค่าเงินที่รุนแรง
อาจกลับทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลงได้
2. Morning star pattern VS Bearish Evening Star
‘ขาขึ้น (Morning star pattern)’
ลักษณะ : เป็นแท่งเทียน 3 แท่ง โดยแท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีแดง ตามด้วยแท่งเทียนขนาดเล็กที่หล่นลงไปข้างล่าง (ในรูปใช้สีเหลืองเพื่อกันงง) จึงเกิดช่องว่าง และปิดท้ายด้วยแท่งเทียนสีเขียวที่มีราคาปิดอยู่ภายในขอบเขตของตัวเทียนแท่งแรก มักเกิดขึ้น
ตอนตลาดขาลง
ความหมาย : ตลาดหุ้นจะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้น
‘ขาลง (Bearish Evening Star)’
ลักษณะ : เป็นแท่งเทียน 3 แท่ง โดยแท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีเขียว ตามด้วยแท่งเทียนขนาดเล็กที่กระโดดขึ้นไปข้างบน (ในรูปใช้สีเหลืองเพื่อกันงง) จึงเกิดเป็นช่องว่าง และปิดท้ายด้วยแท่งเทียน
สีแดงที่มีราคาปิดอยู่ภายในขอบเขตของตัวเทียนแท่งแรก
ความหมาย : ตลาดหุ้นจะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลง
3. Morning doji star pattern VS Bearish Evening Doji Star
‘ขาขึ้น (Morning doji star pattern)‘
ลักษณะ : มีลักษณะเหมือน Morning star แต่ช่วงกลาง
เปลี่ยนจากแท่งเทียนขนาดเล็กเป็น DOJI แทน
ความหมาย : เหมือน Morning star แต่แนวโน้มหุ้นที่จะเป็นขาขึ้นมีน้ำหนักมากกว่า
‘ขาลง (Bearish Evening Doji Star)’
ลักษณะ : มีลักษณะเหมือน Evening Star แต่ช่วงกลาง
เปลี่ยนจากแท่งเทียนขนาดเล็กเป็น DOJI แทน
ความหมาย : เหมือน Evening Star แต่แนวโน้มหุ้นที่จะเป็นขาลงมีน้ำหนักมากกว่า
4. Bullish Engulfing VS Bearish engulfing
‘ขาขึ้น (Bullish Engulfing)’
ลักษณะ : มีแท่งเทียนสองแท่ง โดยแท่งเทียนสีเขียวขวามือจะมีขนาดยาวกว่าแท่งเทียนสีแดง ซึ่งลักษณะที่ดี คือ แท่งเทียนสีแดงควรจะเล็กๆ สั้นๆ ส่วนแท่งเทียนสีเขียว ควรจะยาวๆ และเพื่อความมั่นใจอาจรอยืนยันแท่งเทียนต่อๆ ไป (สีเขียว) ในวันถัดไป โดยแท่งเทียนต่อๆ ไปต้องยาวขึ้น และมีแรงซื้อหนาแน่นเพิ่มขึ้น เช่น เปิดราคากระโดดจนมีช่องว่าง (Gap) เกิดขึ้น (โดยในการพิจารณานี้จะไม่เกี่ยวกับไส้เทียน)
ความหมาย : บ่งบอกถึงแรงซื้อหุ้นที่เพิ่มมากขึ้น ขาขึ้นกำลังมีอิทธิพล และสามารถเอาชนะขาลงได้
‘ขาลง (Bearish engulfing)’
ลักษณะ : ตรงข้ามกับ Bullish Engulfing คือ มีแท่งเทียนสีแดงที่มีขนาดยาวกว่าแท่งเทียนสีเขียว ซึ่งลักษณะที่ดี คือ แท่งเทียนสีเขียวควรจะสั้นๆ เพื่อความแม่นยำเราควรรอดูความหนาแน่นในการขายของแท่งเทียนในวันต่อๆ ไปเช่นกัน (โดยในการพิจารณานี้จะไม่เกี่ยวกับไส้เทียน)
ความหมาย : บ่งบอกถึงแรงขายหุ้นที่เพิ่มมากขึ้น ขาลงกำลังมีอิทธิพล และสามารถเอาชนะขาขึ้นได้
5. Bullish Harami VS Bearish Harami
‘ขาขึ้น (Bullish Harami)’
ลักษณะ : แท่งเทียนจะเหมือนคนท้องซึ่งมาจากคำว่า ‘Harami’ (ภาษาญี่ปุ่น หมายถึง คนท้อง) ประกอบด้วยแท่งเทียนสีแดง
ที่ยาวกว่า ตามมาด้วยแท่งเทียนสีเขียวที่สั้นกว่า
ความหมาย : สัดส่วนของแท่งเทียนทั้งสองต่างกันมาก
ทำให้ไม่สามารถยืนยันการกลับทิศทางของหุ้นได้
ดังนั้น ควรรอการยืนยันจากแท่งเทียนในวันถัดไป
เพื่อยืนยันการกลับทิศทางของหุ้นที่ชัดเจน
ซึ่งก็คือ แท่งเทียนตัวต่อไปจะต้องเป็นสีเขียว และมีราคาเปิดแบบกระโดดจากแท่งเทียนสีเขียวอันเดิม มาอยู่ในราคาปิดของ
แท่งสีเขียวตัวที่สามในราคาที่สูงขึ้นไปมากๆ
‘ขาลง (Bearish Harami)’
ลักษณะ : แท่งเทียนจะเหมือนคนท้องเช่นกัน ประกอบด้วย
แท่งเทียนสีเขียวที่ยาวกว่า ตามมาด้วยแท่งเทียนสีแดงที่สัั้นกว่า
ความหมาย : สัดส่วนของแท่งเทียนทั้งสองต่างกันมาก
ทำให้ไม่สามารถยืนยันการกลับทิศทางของหุ้นได้
ดังนั้น ควรรอการยืนยันจากแท่งเทียนในวันถัดไป
เพื่อยืนยันการกลับทิศทางของหุ้นที่ชัดเจน
ซึ่งก็คือ แท่งเทียนตัวต่อไปจะต้องเป็นสีแดง และมีราคาเปิดแบบกระโดดจากแท่งเทียนสีแดงอันเดิม มาอยู่ในราคาปิด
ของแท่งสีแดงตัวที่สามในราคาที่สูงขึ้นไปมากๆ
6. Bullish Harami Cross VS Bearish Harami Cross
‘ขาขึ้น (Bullish Harami Cross)’
ลักษณะ : Doji กระโดดลงห่างจากแท่งเทียนสีแดงก่อนหน้า
จนเกิดเป็นช่องว่าง ซึ่งในการพิจารณานั้น
จะไม่เกี่ยวข้องกับความสูง – ต่ำของไส้เทียน Doji
ความหมาย : แนวโน้มที่ลงมาอาจเปลี่ยนเป็นขาขึ้น และถ้าจะให้มั่นใจมากยิ่งขึ้น ควรมีแท่งเทียนสีเขียวตามมาในเวลาถัดไป
โดยมีราคาเปิดแบบกระโดดหรือมีราคาปิดที่สูงขึ้นจาก Doji
‘ขาลง (Bearish Harami Cross)’
ลักษณะ : เกิด Doji กระโดดขึ้นห่างจากแท่งเทียนสีเขียวก่อนหน้า จนเกิดเป็นช่องว่าง โดยไส้เทียนของ Doji จะห่างจากแท่งเทียนก่อนหน้าหรือไม่ก็ได้
ความหมาย : แนวโน้มที่ขึ้นมาอาจเปลี่ยนเป็นขาลง และถ้าจะให้มั่นใจมากยิ่งขึ้น ควรมีแท่งเทียสีแดงเกิดขึ้นตามมาในเวลาถัดไป
7. Bullish Doji star VS Bearish Doji star
‘ขาขึ้น (Bullish Doji star)’
ลักษณะ : แท่งเทียน Doji กระโดดลงห่างจากแท่งเทียนสีแดง
ก่อนหน้าจนเป็นช่องว่าง โดยไส้เทียนของ Doji จะห่างหรือไม่ห่างจากแท่งเทียนสีแดงก็ได้
ความหมาย : แนวโน้มที่ลงมาอาจเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
และหากมีแท่งเทียนสีเขียวเกิดขึ้นตามมา
ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่า แนวโน้ม (อาจจะ) เปลี่ยนเป็นขาขึ้นจริง
‘ขาลง (Bearish Doji star)’
ลักษณะ : แท่งเทียน Doji กระโดดขึ้นห่างจากแท่งเทียนสีเขียวก่อนหน้าจนเป็นช่องว่าง โดยไส้เทียนของ Doji จะห่างหรือไม่ห่างจากแท่งเทียนสีเขียวก็ได้
ความหมาย : แนวโน้มหุ้นที่ขึ้นอาจจะเปลี่ยนเป็นขาลง
และหากมีแท่งเทียนสีแดงเกิดขึ้นตามมา
ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่า แนวโน้ม (อาจจะ) เปลี่ยนเป็นขาลงจริง
8. Bullish Dragonfly Doji VS Bearish Dragonfly Doji
‘ขาขึ้น (Bullish Dragonfly Doji)’
ลักษณะ : Doji รูปตัว ‘T’ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างขาลง
ความหมาย : อาจเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น หากแท่งเทียนต่อไปเป็นสีเขียวและหากยิ่งมีราคาเปิด – ปิด ที่สูงกว่า dragonfly doji มากๆ ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่า แนวโน้ม (อาจจะ) กลับตัวเป็นขาขึ้นจริง
‘ขาลง (Bearish Dragonfly Doji)’
ลักษณะ : Doji รูปตัว ‘T’ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างขาขึ้น
ความหมาย : อาจเกิดการกลับตัวเป็นขาลง หากแท่งเทียนต่อไปเป็นสีแดงและหากยิ่งมีราคาเปิด – ปิดที่ต่ำกว่า dragonfly doji มากๆ ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่า แนวโน้ม (อาจจะ) กลับตัวเป็นขาลงจริง
9. Hammer VS Hanging Man
‘ขาขึ้น (Hammer)’
ลักษณะ : เป็นแท่งเทียนที่มีรูปร่างคล้ายค้อน ตัวเทียนมีขนาดเล็กที่ระดับราคาสูงสุดของวัน และมีไส้เทียนด้านล่าง ยาวอย่างน้อยเป็น 2 เท่า ของแท่งเทียน ส่วนไส้เทียนด้านบนจะมีหรือไม่มีก็ได้ (หากไม่มีจะเป็นค้อนมากกว่า) มักจะเกิดในช่วงขาลง
ความหมาย : แนวโน้มที่ลงมาจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
‘ขาลง (Hanging Man)’
ลักษณะ : เป็นแท่งเทียนคล้ายการแขวน รายละเอียดอื่นๆ จะเหมือนกับ Hammer แต่ต่างกันที่ Hanging Man มักจะเกิดในช่างขาขึ้น
ความหมาย : แนวโน้มที่ขึ้นไปจะเปลี่ยนเป็นขาลง
10. Bullish Inverted Hammer VS Shooting Star
‘ขาขึ้น (Bullish Inverted Hammer)’
ลักษณะ : เหมือน Hammer แต่จะเกิดในช่วงขาลง เป็นแท่งเทียนที่มีตัวเทียนขนาดเล็กที่ระดับราคาต่ำสุดของวัน และมีไส้เทียน
ด้านบนที่อย่างน้อยมีความยาวมากกว่าตัวเทียน 2 เท่า
ความหมาย : แนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ทั้งนี้จะน่าเชื่อถือ
มากขึ้น ถ้ามีแท่งเทียนสีเขียวเกิดขึ้นตามมา
‘ขาลง (Shooting Star)’
ลักษณะ : เหมือน Inverted Hammer แต่ต่างกันที่ Shooting Star จะเกิดในช่วงขาขึ้น
ความหมาย : แนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาลง ทั้งนี้จะน่าเชื่อถือ
มากขึ้น ถ้ามีแท่งเทียนสีแดงเกิดขึ้นตามมา
11. Bullish Belt Hold VS Bearish Belt Hold
‘ขาขึ้น (Bullish Belt Hold)’
ลักษณะ : แท่งเทียนสีเขียวที่มีราคาเปิดตกลงมาจากวันก่อนๆ มาก และไม่มีไส้เทียนด้านล่างเกิดขึ้นเลย
จากนั้นมีแรงซื้อดึงราคาหุ้นขึ้นไป จนไปปิด ณ จุดที่ใกล้เคียงกับระดับราคาสูงสุดของวัน จึงทำให้ไส้เทียนด้านบนสั้น
ความหมาย : เพื่อให้มั่นใจว่า ทิศทางจะกลับจากขาลงเป็นขาขึ้น ควรรอแท่งเทียนสีเขียวอีกแท่งเป็นการยืนยัน
‘ขาลง (Bearish Belt Hold)’
ลักษณะ : แท่งเทียนสีแดงที่มีราคาเปิดที่สูงขึ้นมาเรื่อยๆ จากวันก่อน แต่พอมาถึงวันล่าสุด ราคาเปิดไม่เพิ่มขึ้นและอยู่กับที่เท่าเดิม ไม่มีไส้เทียนด้านบนเกิดขึ้นเลย และยังมีแรงขายในราคาลดลงเป็นจำนวนมากขึ้น จนดันให้ราคาปิดต่ำลงไปเรื่อยๆ จนใกล้ถึงราคาต่ำสุดของวัน จึงทำให้ไส้เทียนด้านล่างสั้น
ความหมาย : เพื่อให้มั่นใจว่า ทิศทางจะกลับตัวจากขาขึ้น
เป็นขาลง ควรรอแท่งเทียนสีแดงอีกแท่งเป็นการยืนยัน
12. Bullish Gravestone Doji VS Bearish Gravestone Doji
‘ขาขึ้น (Bullish Gravestone Doji)’
ลักษณะ : เป็นแท่งเทียนรูปตัว ‘T’ กลับหัว ในช่วงเวลานั้นราคาเปิดและปิดเท่ากับราคาต่ำสุด
ความหมาย : เพื่อให้มั่นใจว่า ทิศทางจะกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น ควรรอแท่งเเท่งเทียนสีเขียวอีกแท่ง ร่วมทั้งให้แท่งเทียนนั้น
มีราคาเปิดสูงกว่าราคาปิดของ doji และหากเปิดด้วยราคา gap มาก ยิ่งเป็นการยืนยันการกลับตัวแรงมากขึ้นเท่านั้น
‘ขาลง (Bearish Gravestone Doji)’
ลักษณะ : เป็นแท่งเทียนรูปตัว ‘T’ กลับหัว ในช่วงเวลานั้นราคาเปิดและปิดเท่ากับราคาต่ำสุด
ความหมาย : คล้ายกับ Bullish Gravestone Doji แต่เพื่อให้มั่นใจว่า ทิศทางจะกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง ควรรอเเท่งเทียนสีแดงอีกแท่ง
อ๊ะๆ ยังไม่จบนะครับ ยังมีรูปแบบที่ 13 – 26 อยู่
หยุดพัก แล้วหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพร้อมแล้วค่อยไปต่อด้วยกันนะครับ
หวังว่าบทความ #Forexมือใหม่ จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน (รวมถึงตัวผมเช่นกัน แหะๆ)
สำหรับตอนหน้าเราจะมาต่อในส่วนของ ’กราฟแท่งเทียน’ EP. 2ฝากติดตามทาง LiteForex นะครับ แล้วเจอกัน
ที่มา https://bit.ly/3wnGvVd